maison vw

rest sit and relax

Archive for the ‘Food and drink’ Category

eating in osaka

with one comment

 
พวกคุณที่เคารพ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัพเดตเท่าไหร่ เพราะงานเยอะจัด
เนื่องด้วยต้องปินต้นฉบับอาทิตย์ละเล่มมาสามอาทิตย์แล้ว (เรื่องจริง ไม่ได้ล้อเล่น)
ก็เลยต้องค่อยๆ เขียน ค่อยๆ เติมไปเรื่อยๆ จนได้เรื่องนึง
ที่จะอัพเดตต่อเนื่อง (กว่าบล็อกนี้) รบกวนคลิ๊กอ่าน http://vdoubleu.blogspot.com/
เพราะเรื่องที่ลงในนั้น อัพเดตง่ายกว่าที่นี่มาก เนื่องจากเป็นข่าวแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และกำลังจะเพิ่มความงามเข้าไปเร็วๆ นี้
 
ว่ากันถึงทริปญี่ปุ่นที่เพิ่งไปมาเมื่อคราวร้อนระอุ
จริงๆ มีหลายร้าน แต่ขอแนะนำร้านที่ชอบ และได้บันทึกภาพมา ซึ่งทั้งหมดอยู่ในโอซากะ
 
เริ่มกันที่ร้านแรก อยู่ชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟอูเมดะ (Umeda) เดินวนไปมารอบสองรอบจึงเจอ
คนญี่ปุ่นที่พามาทานบอกว่า มักจะมาทานตอนทำงาน เพราะง่าย เร็ว และอร่อย!!
ว่าแต่ทำไมมะกี้พากรูหลงฟระ
 
ร้านนี้ขายแกงกะหรี่ของโปรดของผม (อ่านชื่อร้านเอง อ่านไม่ออก) เวลามาญี่ปุ่น ต้องหาโอกาสหม่ำให้จงได้สักมื้อ
แต่คราวนี้ไม่ใช่แกงกะหรี่แบบที่เคยทาน คือแกงกะหรี่เนื้อ มันฝรั่ง และแครอท
หากเป็นแกงกะหรี่สไตล์อินเดีย ตอนแรกนึกในใจ ว่าแย่จังไม่มีผักดองสีแดงๆ (จนตอนนี้ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร) ของโปรด
แกงกะหรี่อินเดียจะเป็นยังไงน้อออ…
 
ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่งัย คือมีข้าว และราดแกงกะหรี่ มาพร้อมอาจาดหนึ่งถ้วย เป็นเครื่องเคียง
เอาล่ะลงมือหม่ำก่อนที่จะลืมรสชาติ
 
อยากบอกว่ารสชาติออกหวานนิดๆ แต่เผ็ดร้อน คือหม่ำคำแรกก็ออกหวานหน่อยๆ
คำที่สองก็เริ่มรู้สึกเผ็ดร้อนในปาก คือไม่เผ็ดแบบกินพริก แต่เผ็ดร้อน ร้อนระอุด้วยเครื่องเทศหอมกรุ่น
เขาจึงให้ทานร่วมกับอาจาด ผัดกาดเย็นๆ ที่ออกรสหวานๆ เปรี้ยวๆ ชื่นใจจริง ก็เลยหม่ำหมดชาม แถมระรานไปหม่ำของคนข้างๆ
 
มีข้าวแกงกะหรี่อีกแบบใส่ไข่ ทีแรกก็นึกว่าไข่ต้มแบบร้านแกงกะหรี่ที่เคยๆ หม่ำ แต่ไม่ใช่เฮะ
เป็นไข่ดิบ ตอกใช่บนข้าวที่กดเป็นหลุมรองไข่ แล้วราดด้วยแกงกะหรี่ บังเอิญไม่ค่อยถูกโรคกะไข่สดเลยขอบาย 
สรุปว่า ครั้งหน้าเจอกัน
 
ร้านที่สอง ไปหม่ำตอนกลางวันของวันสุดท้ายในญี่ปุ่น ไปมาหลายครั้ง เพิ่งจะนึกออกว่าอยากหม่ำข้าวหน้าปลาไหล
คนญี่ปุ่นก็เลยพามาทาน ร้านนี้อยู่ที่ชั้นบนของห้างไดมารู สาขาชินไซบาชิ (Shinsaibashi) สุดหรู
ไปถึงก็เกือบบ่ายสอง ทว่ายังได้หม่ำเซ็ตกลางวัน ประกอบด้วย
อาหารรองท้อง ข้าวหน้าปลาไหล ซุป ผักดอง และของหวาน ราคาไม่แพงอย่างที่คิด
 
ระหว่างรอคิด แม้จะบ่ายสอง แต่รอคิวประมาณ 20 นาที
เลยถ่ายรูปป้ายหน้าร้าน บอกว่า อูนาหงิจากโตเกียวนะจ้ะ (แล้วงัย?)
 
มาแร้วววว รอซะหิวตาลาย อาหารรองท้อง ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่าสองคำหมด (จริงๆ คำเดียวก็หมด)
รสชาติเหมือนปลาแซลมอน แต่เหลืองๆ ข้างหน้านี่ไม่รู้จริงๆ
 
มาอีกแร้วว…เซ็ตกลางวัน (ตอนบ่ายสอง!) ข้าวหน้าปลาไหลสุดโปรด ตัวใหญ่มิดชาม เขาวางน้ำซอสไว้บนโต๊ะให้เติมเอง
ก็เลยเติมซะ คืบข้าวไม่ขึ้นเลย
 
มาญี่ปุ่นทั้งที ต้องทำตัวกลมกลืน ด้วยการทานข้าวคู่กับเบียร์ วู้วๆๆๆ สุดยอด!!
 
ขณะกำลังพิมพ์บล็อก เห็นภาพใกล้ๆ แบบนี้แล้วท้องร้องเลย …ขณะนี่ยังทานเจอยู่เลย
เลิกเจแล้วไปหม่ำดีก่า ข้าวหน้าปลาไหลร้านโปรดของผมในกรุงเทพ คือ
Nippon Tae สาขาชั้นใต้ดินตึกอะไรสักอย่างตรงรถไฟฟ้าราชดำริ
 
ปิดท้ายด้วยความเย็นนนนน สู้ตายกับอากาศร้อนมากถึงมากที่สุด ยามไปญี่ปุ่นครั้งนี้
ด้วยเชอร์เบ็ตรสส้มยูสุ พร้อมเนื้อส้ม แสนอร่อย ชื่นใจ รสหวานอมเปรี้ยว
แน่นอนว่าก้อนจิ๋วเดียว (ลองเปรียบกะช้อนตักไอติมดูสิ)
 
อร่อยมั้ย?!
 
ปล. เอามายัวน้ำลายระหว่างทานเจ คงไม่ว่ากันนะ
 

Written by vw

October 3, 2008 at 02:45

Posted in Food and drink

ANA Bussiness Class Meals

with 2 comments

เป็นความทรงจำที่ต้องรำลึกย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ได้มีโอกาส (นานๆ ที) นั่งเครื่องบินบนชั้นธุรกิจ
ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นชั้นธุรกิจของสายการบิน Air Nippon Airways หรือ ANA
 
ก่อนเดินทาง ลองเข้าไปในเว็บไซด์ของสายการบิน จึงทราบว่า เขามีแจ้งรายชื่อเมนูอาหารให้ทราบ
ซึ่งก็ยั่วน้ำลายและอยากให้ลองไปเสียทุกอย่าง แต่เนื่องจากกว่าจะเอากลับมาเขียนนานเกินเหตุ จึงขอเล่าเท่าที่จำได้
 
ครั้งนี้เดินทางจากสุวรรณภูมิ – นาริตะ – JFK แล้วย้อนกลับ JFK – นาริตะ – สุวรรณภูมิ
อาหารของเดือนมีนาคม อยู่ในช่วงฤดูใบไผลิ ผมเลือกทานแต่อาหารญี่ปุ่น ตลอดการเดินทาง (เพราะเมนูอาหารฝรั่ง ไม่ค่อยพิสดาร)
ซึ่งจัดอาหารรสเด็ดของภูมิภาคต่างๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
 
เริ่มที่อาหารจาดหลัก ซึ่งเป็นอาหารประจำภูมิภาคมาในขนาดพอดีคำ คำละภูมิภาค ซึ่งบอกไม่ได้ว่าภาคไหนบ้าง
รู้แต่ว่าเด็ดไปเสียทุกคำ เช่นปลาในกะบะไม้ หอยเชลล์ย่างซีอิ้วอะไรสักอย่าง กุ้งซีดๆ แห้งๆ แต่รสชาติหอมอร่อยทีเดียว เต้าหู้ไข่ยังอร่อยเลย
ส่วนอีกสองคำที่เหลือจำไม่ได้จริงๆ ว่าคืออะไร รู้แต่แป๊บเดียวหมด!!
 
อาหารมื้อเบาอีกเมนู เป็นเหล่าผัก เม็ดผัก และดอกไม้ สวยและน่าทานมาก เขานำดอกไม้ทั้งดอกตูมไปต้ม
เผอิญเป้นคนชอบทานผักหญ้า เลยเอ็นจอยกับจานนี้เป็นพิเศษ
 
อันนี้สิเด็ดสุด เพราะตอนหม่ำอาหารคาวจนอิ่ม ก็ไม่ค่อยอยากจะทานอะไร ปกติชอบทานไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจ
แต่ไอศกรีม (ช้อกโกแลต-วานิลลา) นี้มาพร้อมสปองเค้กช้อกโกแลตชิ้นเล็กๆ ก้นถ้วยเป็นแยมรสเปรี้ยว เข้าใจว่าเป็นผลส้มยูสุ
ซึ่งปกติไม่ชอบทานเค้กในไอศกรีม โดยเฉพาะเค้กช้อกโกแลตยิ่งไม่ชอบทาน …แต่…แต่พอได้หม่ำไอศกรีมแล้วหยุดไม่ได้
โหยยยยย!!!!! อร่อยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่กล้าถ่ายภาพตอนหมดให้ดู ว่าไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ไอศกรีมอร่อย …ไม่สิ ต้องเรียกว่า วิเศษสุดยอด!! ในใจยังนึกอยากจะขอเพิ่ม
 
อาหารมื้อเช้าก่อนลงสนามบิน JFK เป็นข้าวต้มโรยหน้าด้วย เก๋ากี้ และสาหร่าย แถมด้วยน้ำราดอะไรสักอย่าง
เอาไว้ทานกับ กับข้าว (จานบน) ประกอบด้วยเต้าหู้ไข่ ผักดอง บ๊วยดอง และปลาต้ม
ความจริงผมชอบอาหารเช้าง่ายๆ แบบญี่ปุ่น (ข้าวสวยและปลา ย่างหรือต้ม) แค่นี้ก็มีความสุขละ
 
ขากลับจาก JFK ไปนาริตะ ก็มีให้ลิ้มรสอาหารประจำฤดูตามภูมิภาค จำไม่ค่อยได้ว่ามีอะไรบ้าง
ก็ดูจากที่เห็นในรูปก็มีรากบัว ถัวไช้เท้าดอง ปลา กุ้ง และอะไรอีกสองอย่างจำไม่ได้จริงๆ
 
รสชชาติก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่อาหารจานร้อน เป็นเมนูเย็น ที่ทานแล้วก็ไม่หนักท้องจนเกินไป
 
ทานกับสลัดอะไรสักอย่าง (ไม่รู้จริงๆ ว่ามีอะไรผสมอยู่บ้าง แต่หน้าตาดี) กรุบกรอบเป็นตัวนำ พร้อมโรยหน้าด้วยไข่กุ้ง รสชาติเยี่ยม
 
ตัดภาพมาเป็นอาหารมื้อเช้า (มื้อไหนก็ไม่รู้) ประกอบด้วยข้าวสวย โรยหน้าด้วยปลาแห้ง และถั่วลันเตา
 
เสิร์ฟพร้อมผักหลากแบบ มัน ปลา และลูกชิ้นต้มซีอิ้ว เป็นอาหารจานร้อน ที่ร้อนจริงๆ 
ทานกับมิโสะซุป ก็ร้อนลวกปากได้เช่นกัน
 
ตบท้ายด้วยจานหวานถ้วยเด็ด ที่ติดใจมาตั้งแต่ขามา พอขากลับมีเสิร์ฟไอศกรีมอีก ก็ไม่รีรอหม่ำอย่างมีความสุขอีกครั้ง
คราวนี้เป็นไอศกรีมรสกาแฟ เค้กชิ้นเล็ก วิปครีม และบิสกิตหนึ่งชิ้น ขอไม่บอกรสชาติได้มะ รู้แค่อยากหม่ำอีกหลายๆ ถ้วย
 
มื้อก่อนถึงบางกอก ก็ยังคงอลังการเช่นเคย แม้จะเป็นอาหารเซ็ตง่ายๆ สบายๆ
 
ประกอบด้วยข้าวสวย ราดหน้าหน่อไม้ มะเขิอเทศ ถั่ว เห็ด และปลา
 
ทานกับหลากเครื่องเคียงอุดมเส้น ทั้งที่เป้นผัก และแป้ง
 
แถมท้ายด้วยทริปของสายการบินเดียวกัน บนชั้นธุรกิจเหมือนกัน
เริ่มต้นที่สนามบินคันไซ ไปยังฮ่องกง ไม่ได้ไปเอง แต่ขโมยรูปมา
เริ่มด้วยของว่า เป็นแชมเปญ และถั่ว ซึ่งเขาให้มาหลากแบบ เอาไปผสมกันเอง สนุกสนาน
 
อาหารมื้อนี้เป็นอาหารฝรั่ง หน้าตาก็ดูแตกต่างไปอีกแบบจากอาหารญี่ปุ่นที่ผ่านมา
 
เริ่มด้วยพาสต้าครีมซอส โรยหน้าด้วยกุ้ง หอยเชลล์ ปลาแซลมอน หน่อไม้ฝรั่ง และเบบี้แครอท
 
อาหารเบาคือแซลมอนรมควัน พาร์ม่าแฮม กุ้ง และอะไรอีกสักอย่าง รู้จักแต่เรียกไม่เป็น รสชาติอร่อย
 
มีทั้งสลัดถ้วยกะทัดรัด และพุดดิ้งน่าหม่ำ ขอให้เชื่อเถิดว่า ถ้าเป็นพุดดิ้งญี่ปุ่น ไม่มีคำว่าไม่อร่อย
 
เป็นอย่างไรบ้าง
อิ่มอร่อยไปกับอาหารบนเครื่องบินกันบ้างหรือเปล่านะ???
 

Written by vw

September 13, 2008 at 20:04

Posted in Food and drink

Krispy Kreme

with one comment

 
ยอมรับเลยว่าที่ผ่านมาโคตรโง่เสียนาน…
 
 
รู้จัก Krispy Kreme Doughnuts เมื่อเกือบทศวรรษละมั้ง
คือเมื่อคราวไปนิวยอร์กครั้งแรก แต่ก็เฉยๆ ไม่ได้ลอง เพราะปกติไม่ได้โปรดปรานโดนัท
 
คราวที่สอง ครั้งที่ไปชิคาโก หัวหน้าทีม ขับรถบึ่งไปซื้อนานกว่า 45 นาทีมาให้ทาน …ก็งั้นๆ นิ
 
คราวที่สาม กระแดะซื้อที่แฮร์รอดส์ ร้านไฮโซกลางลอนดอน ซื้อแบบที่เป็นวาไรตี้ …ก็งั้นๆ พอกินได้
 
คราวที่สี่ ไม่ได้ทาน แต่เห็นคิวยาวทั้งวันทั้งคืนที่ชินจุกุ โตเกียว ข่าวว่าต้องรอยาวถึง 30 นาทีจึงจะได้คิวซื้อ
เลยคิดว่าไร้สาระเสียงจริง รออะไรนานขนาดนั้น โดนัทเจ้าอื่นคงอิจฉาตาร้อน
 

คราวที่ห้า คราวนี้ไม่ต้องต่อคิวซื้อ หรือบึ่งรถร่วมชั่วโมง เพราะโดนัทเจ้านี้ ข้ามทะเลมาเปิดที่ฮ่องกง

เปิดที 4-5 สาขา และหลังจากนั้นก็ยังคงทยอยเปิดเรื่อยๆ ทำให้คนซื้อโหรงเหรง จนถึงไม่มีคนซื้อเลย
ซื้อมากิน แบบว่าเพราะเห็นว่าใครก็ปลื้มนัก เป็นเพราะอะไร เลยซื้อให้พ่อแม่หม่ำด้วย ..ทุกคนก็บอกว่างั้นๆ
 
คราวที่หก ที่ฮ่องกงเช่นเคย ซื้อมาให้ชาวญี่ปุ่นทดลองทาน อันเป็นที่มาของภาพประกอบคราวนี้
เป็นรสซูเปอร์ฮิต Original Glazed เคลือบน้ำตาลบางๆ …รสชาติก็งั้นๆ อีกละ !!!
 
คราวที่เจ็ด ล่าสุดเมื่อไปเกาหลี มีร้านคริสปี้ อยู่บนเมียงดง ซึ่งใกล้กับโรงแรมที่พักมากมาย
ตกดึกเกือบห้าทุ่ม ก็ฝ่าฝนเพื่อจะไปนั่งเล่นหย่อนใจ เพราะสตาร์บั๊กส์ปิดแล้ว แต่คริสปีนี่ยังไม่ปิด
แปลกจริง เป็นบ้านเราคงเงียบฉี่ แต่ที่นี่คนยังเดินกันสู้ตาย
ที่ร้านคริสปี้ ก็มีคนเข้ามาซื้อโดนัทเรื่อยๆ เป็นกลุ่มๆ ที่ทำให้เกิดคิวเล็กๆ ขึ้น
 
บริกรยื่นออริจินัลแกลส์ให้ชิม ทั้งที่คิวก็ไม่ยาว แค่สองสามคิวเอง คงเพราะเพิ่งทำเสร็จหมาดๆ
รับจากบริกร โดนัทอุ่นๆ นิ่มๆ …เอ๊ะ! ทำไมไม่เหมือนที่เคยกิน??
 
ซื้อเสร็จพร้อมรสวาไรตี้อีกสองชิ้น และเครื่องดื่มอีกแก้ว
หาที่นั่งเสร็จ ก็ลงมือหม่ำออริจินัลในมือ
โอ้ววววววววววววว!!!! สุดยอดดดดดดดดดด!!!!
ทำไมห้าครั้งที่ได้ลองหม่ำ มันไม่เลิศแบบนี้นะ
ทันทีที่หยิบเข้าปาก โดนัทแทบจะละลายหายไปในปาก
น้ำตาลที่เคลือบบางๆ ก็พอดีกับความนุ่มอร่อยของโดนัท
กัดไปสองสามคำ ก็หมดชิ้นอย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงเรียกในหัวทันที อยากกินอีก!!!
 
เข้าใจแล้วว่าทำไมคนจึงซื้อแต่รสนี้ และซื้อกันทีเป็นกล่องๆ ละ 6 ชิ้นขึ้นไปแทบทุกคน
 
สุดท้ายก็ซื้อกินทุกวัน วันละชิ้นพอให้หายอยาก (ทั้งที่จริงอยากกินอีก)
วันสุดท้าย เดินไปที่ร้านแต่เช้าเพื่อซื้อทานเป็นครั้งสุดท้าย จึงซื้อเผื่อให้คนโน้นนี้ที่ร่วมทริป
บริกรก็จัดแจงใส่กล่อง บนกล่องเพิ่งสังเกตุ มีภาษาเกาหลี ตัวเลข 8 และรูปเตา
เข้าใจเองว่า ถ้าเย็นชืด ให้อุ่นไมโครเวฟ 8 วินาที
 
ท้ายที่สุด โดนัทที่ซื้อมาก็กินไม่หมด จึงต้องแบกไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ก็ต้องแบกสองชิ้นสุดท้ายกลับบ้าน
ถึงบ้าน ตกดึกก็อดใจไม่ไหว จึงหยิบทาน โดยเดาและทำตามที่เดา คือเข้าไมโครเวฟ 7 วินาที
โอ้ววววววววววววว!!!! สุดยอดดดดดดดดดด!!!!
เหมือนเพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ เหมือนที่ได้ทานที่ร้านคริสปี้ยังไงยังงั้นเลย
 
โธ่ อีโง่!!!

Written by vw

August 18, 2008 at 04:25

Posted in Food and drink

Yummy Bhutan !!!

with one comment

 
บอกล่วงหน้า ไม่ได้ไปยัมมี่คนภูฏาน ถึงจะดูยัมมี่ก็ตาม Tongue out
 
แต่ในที่นี้ ก็แน่นอนล่ะ… อาหารภูฏาน
อ่านหนังสือนำเที่ยว เขาว่าอาหารของที่นี่ไม่ค่อยแซบถูกปาก
ทว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะทานอาหารภูฏานจากครัวโรงแรมทุกมื้อ
เลยรู้สึกอร่อย และถูกปาก (แต่ไม่มีสักรูปที่ถ่ายมาให้ชม เพราะมื้อที่เขาเสิร์ฟอาหารภูฏาน มักมีเหตุพิเศษเกิดขึ้น
อาทิ ทานอาหารนอสถานที่ ที่มืดจัด หรือไม่ก็ลืมเอากล้องไปถ่าย)
 
ต่อไปนี้มาแซบกับอาหารและเครื่องดื่มบางมื้อที่ได้ไปลิ้มรสมา
 
เครื่องดื่มต้อนรับ เป็นเครื่องดื่มพื้นเมือง ที่แอบไปเห็นตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองทิมภู (แต่เห็นสภาพแล้วอาจไม่อยากซื้อ)
นั่นคือ Apple Cider หรือก็คือน้ำแอปเปิ้ลนั่นแหละ เห็นชื่ออาจนึกว่าต้องซ่าสสสส์ แบบที่เรารู้จักไซเดอร์มาแต่โบราณ
ซึ่งคงต้องผิดหวัง เพราะไม่ซ่า รสชาติหวานๆ เจือขมประแล่มๆ อยากซื้อมาดื่มที่ กทม เหมือนกัน
แช่เย็นคงซาบซ่าน่าดู (เนื่องจากที่ภูฏานเขาไม่ดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำแข็ง)
 
อาหารมื้อแรก หลังจากเดินทางถึงเมืองพาโร ก็คือบุปเฟต์อาหารสุขภาพหลากชนิด
อันได้แก่ (จากบนซ้าย วนตาเข็มนาฬิกา) ซีซ่าร์สลัดโควสลอว์ แอสปารากัสผัด
ซอสมะเขือเทศ (รสชาติเจอเผ็ดเล็กน้อย) ทูน่าบนแผ่นขนมปัง ซี่โครงหมูอบซอส
และเฟรนซ์ฟรายส์ (จิ้มซอสมะเขือเทศข้างๆ) ขอบอกว่าอร่อยเด็ดทุกอย่าง
แต่ที่ติดใจที่สุดก็ซี่โครงหมูนี่แหละ ต้องตักซ้ำอีกสามสี่ชิ้นเชียวล่ะ (คนอื่นก็เหมือนกัน)
 
คราแรกนึกว่าตัวเองมาอยู่ชีวิศรม ทานอาหารอนามัย รสชาติคงต้องแย่แน่ๆ
พอได้ลิ้มแล้วต้องกลับใจ เพราะอร่อยจัดทุกอย่างเลย
 
ไกด์เล่าให้ฟังว่า เนื่องจากคนภูฏานไม่นิยมฆ่าสัตว์
หลายคนก็เลยทานมังสวิรัติเสียเลย
 
อันนี้เป็นเครื่องดื่มของมื้อแรก ‘มะนาวโซดา’ ..ถูกต้องมะนาวโซดา อ่านไม่ผิดหรอก
แต่ที่ประทับใจสุดๆ ก็ตรงที่ความซ่าสสสสสส์ของโซดา
แบบว่า ถ้าสั่งมะนาวโซดาบ้านเรา อาจจะไม่ค่อยรู้ว่ากำลังดื่มโซดา เพราะความซ่าหายหมด
แต่นี่ทิ้งไว้สักพัก เอาหลอดคนๆๆๆ โหยย ฟองฟู่แบบเอาเป็นเอาตาย ทิ้งไว้อีกพัก คนดูใหม่ ฟองก็ยังฟู่เอาจริงอยู่ดี
ดื่มแล้วซาบซ่าซ่านทรวงหลายๆ
 
ดูเผินๆ อาจนึกว่าน้ำส้ม หรือน้ำผลไม้
แต่แท้จริงคือ ‘เบียร์’ จำไม่ได้เขาเรียกว่าเบียร์อะไร
ทว่ารสชาติแปลกกว่าเบียร์ที่เคยดื่ม เพราะมีรสผลไม้
โดยมีความหอมของน้ำผึ้งแตะจมูกและปลายลิ้น แรกๆ ก็ไม่ชิน
เลยรู้สึกว่ารสชาติพิลึก แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็หมดแก้ว จนแทบจะลืมถ่ายรูปมาอวด
 
นี่ก็ดูเผินๆ เหมือนสเต็กเนื้อวัวแบบ medium-rare
จริงๆ แล้วเป็นซูชิแซลมอน (เขาว่างั้น) เอาไปย่างเล็กน้อยพอให้สุกขอบ แต่ข้างในยังแดงแจ๋
โรยงาให้ทั่ว วางเสิร์ฟบนผัดสารพัดผัก
รสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เป็นสุดยอดเมนูโปรดของทริปไปโดยปริยาย
 
ชารสชาติแปลก นำมาต้อนรับหลักเดินทางจากเมืองพาโร มาที่เมืองทิมภู ผ่านเทือกเขา และถนนหลายร้อยโค้ง จนเวียนหัว
ชาถ้วยมีกลิ่นอบเชย และสารพัดกลิ่นสมุนไพร พร้อมรสหวานปะแล่มๆ เปรี้ยวนิดๆ บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไรบ้าง
พอดื่มไปสักพัก รสชาติชุ่มคอ ทำให้หายพะอืดพะอมจากการเดินทางได้อย่างน่าอัศจรรย์!!!
 
จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงถ่ายมาได้แต่ขนมหวาน แล้วอาหารจานอื่นหายไปไหนล่ะ!
เอาเหอะ รู้แค่ว่า ที่ประทับใจอาหารหวานจานนี้เพราะเป็นครีมเย็นคล้ายไอศกรีม
รสชาติกล้วย ผสมเม็ดถั่ว ราดซอสน้ำเชื่อมแสนอร่อย
 
ชามนี้เป็นอาหารเช้า และเป็นมื้อสุดท้ายของภูฏาน
เช้าในที่นี้คือตีสี่ ต้องขอบคุณพ่อครัว ที่ยังอุตส่าห์ตื่นมาทำให้
เรื่องของเรื่องเช้าวันก่อนหน้านี้ได้ทานแล้วครั้งนึง
เขาเรียกว่า ‘ก๊วยเตี๋ยวเนื้อ’ ในแบบคาราโอเกะ คราวแรกก็นึกว่าเอาใจทริปเรา
แต่เขามีอยู่ในเมนูของโรงแรมเลยนะ
 
ได้ทานอาหารน้ำร้อนๆ เส้นก๊วยเตี๋ยวคล้ายเส้นจันทร์
ใส่ดอกคะน้า แครอท และเนื้อวัวชิ้นเล็ก
ที่สำคัญเขามีพวงพริกให้ด้วย พริกที่นี่ก็แซบสะใจจริงๆ
 
ลืมบอกไปว่า อาหารภูฏานจริงๆ น่าจะถูกปากคนไทย เพราะจะเน้นรสเผ็ด
เวลากินเผ็ดเนี่ยะ เผ็ดเอาจริงเอาจังมาก เผลอๆ บางอย่างจะเผ็ดเสียยิ่งกว่าบ้านเราอีกนะ
 
ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มแสนอร่อยที่สุด พยายามหาซื้อแล้ว แต่หาไม่เจอ (และไม่ค่อยได้หา)
เขาเรียกว่า ‘Indian Tea’ รสชาติเป็นชานมเจือกลิ่นอบเชยหอมชื่นใจจริงๆ
เรียกว่าไปคราวนี้จะพยายามสั่งชาอินเดียแทบทุกมื้อ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น ก็ขอให้ได้ดื่ม
 
ไปๆ มาๆ คราวนี้มีแต่เครื่องดิ่ม ไม่ค่อยจะมีอาหารเลย
บอกตามตรง ไปเมื่องนอกคราวนี้ประทับเครื่องดื่มอันหลากหลายเป็นพิเศษ
ที่รสชาติแตกต่างจากบ้านเราแสนจะสิ้นเชิง
 
อยากไปอีกจัง Open-mouthed
 

Written by vw

August 12, 2008 at 23:50

Posted in Food and drink

Korean Food Festival

with 3 comments

 
ว่าจะอัพเรื่องนี้ก่อนบินไปภูฏาน แต่ก็ไม่สำเร็จ
ช่างเหอะ… 
ยังไงก็ได้นำของอร่อยที่ได้ไปลิ้มรสที่เกาหลีมาแบ่งๆ กันทาน …ด้วยภาพอยู่ดี Wink
 
 
ภาพนี้เป็นเมนูอาหารของร้านที่ได้ไปหม่ำอาหารเกาหลีมื้อที่สองของทริปนี้ (มื้อกลางวัน)
อยู่ซอกหนึ่งของ อินซาดง (Insadong) ย่านของที่ระลึก ของพื้นเมืองเกาหลี เก๋ๆ
 
มื้อแรกลืมถ่ายมาให้ชม เป็นหม้อคล้ายๆ สุกียากี้ เรียกว่า บุลโกกิ (Bulgogi)
โดยนำหมู (หรือเนื้อ) ลงไปต้มน้ำซุปที่มีหอมใหญ่ ต้นหอม เป็นอาทิ
รสชาติแซบมาก ไม่แพ้สุกียากี้ญี่ปุ่นเลย
 
 อาหารมื้อที่สองของทริปกรุงโซล เป็นกับข้าวหลายอย่าง บนสุดเป็นเหมือนโป๊ะแตก
คือเป็นอาหารทะเลหลากแบบ ซึ่งก็ขอบาย เพราะมีทั้งหอย ปลาหมึก และปู ต้มรวมๆ กัน
2 อย่างแรกไม่ทาน อย่างสุดท้ายของโปรด แต่ไม่เหมาะทะแทะแกะ ณ ที่นี้
 
ถัดมาเป็นหมูผัดหอมใหญ่ และเส้นบุก เรียกว่า คาลบิ (Galbi) หน้าตาและรสชาติคล้ายสุกียากี้เมื่อวาน ออกหวานๆ ถูกใจนัก
จริงๆ มีเวอร์ชั่นเนื้อด้วย
ถัดลงมาเป็นซีฟู้ดผัดกิมจิ ไม่กิน ขอผ่าน
ล่างสุด เป็นปลา 4-5 แบบ อร่อย และรสชาติแตกต่างกันทุกแบบ
ที่เหลือคือเครื่องเคียง กิมจิ และข้าวสวย ถูกใจก็เครื่องเคียง และกิมจิแสนอร่อย เติมแล้วเติมอีก
 
มื้อนี้เป็นอีกมื้อเด็ดของทริป เป็นกระทะร้อน เขาว่าเป็น BBQ  ใส่ผักกะหล่ำปลีหั่นเล็กต้นหอม แป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นเส้น
ใส่หมู/เนื้อ/ไก่ และราดด้วยน้ำซอสสีแดง รสออกเผ็ดๆ เค็มๆ
จากนั้นก็ผัดๆๆๆๆๆๆ ผัด ให้เข้ากัน รสแซ่บหลายๆ แต่หัวและตัวก็เหม็นหลายๆ เหมือนกัน
 
ร้านนี้อยู่บนชั้นเจ็ด ในย่านอีฮวา หรือมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha Women University)
เป็นแหล่งช้อปแฟชั่นที่ละม้ายสยามสแควร์ เพราะโดยมากเป็นโลคัลแบรนด์ คาเฟ่ และร้านอาหาร
 
กาแฟเย็นถ้วยนี้ เขาว่าเป็นของเด็ดของทริป แต่เราเฉยๆ เพราะไม่เคยดู Coffee Prince ทำไงก็ไม่อิน
ทั้งที่เขาอุตส่าห์พามาป่ะร้านคอฟฟิ่ปริ้นซ์ของแท้แน่นอน (สถานที่ถ่ายทำซีรีย์สนี้)
 
เดิมเป็นร้านกาแฟที่ทำแล้วเจ๊ง แต่พอเอาสถานที่มาสร้างละครก็กลับฮิตเปรี้ยง
เจ้าของร้านหัวใจ หากเข้ามาในร้านต้องโทรจองล่วงหน้า ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าทะลึ่งเข้ามา
และที่สำคัญต้องสั่งเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว ในราคา 8000 วอน (ประมาณเกือบ 300 บาท)
ปกติกาแฟสตาร์บั๊กส์แก้วขนาดนี้ก็ราว 4-5000 วอนเอง
 
คุณไกด์เตือนว่ารสชาติอาจไม่น่าภิรมย์ แต่ได้ดื่มก็โอเค ไม่แย่ และไม่เลิศ
ทว่าพอเทียบราคาแล้ว บอกได้คำเดียวว่าไม่คุ้มอย่างแรง

 
ที่กำหนดให้ต้องโทรจอง และสั่งเครื่องดื่มคนละแก้ว
เพราะเขากลัวคนแห่กันเข้ามาถ่ายๆๆๆๆๆๆ รูป …แล้วกลับ ไม่ดื่มไม่ไรทั้งนั้น
ร้านคอฟฟิ่ปริ้นซ์อาจถึงคราวเจ๊งอีกรอบได้
 
ข้ามมาที่อาหารเย็นรสเด็ด แต่คราวนี้กลับไม่เด็ดอย่างที่หวัง
ไม่ใช่ไม่อร่อย หากเพราะเมื่อบ่ายโมง หลังดื่มกาแฟถึงไปหม่ำเนื้อย่างเกาหลีแบบไม่ยั้ง
เดินขึ้นรถแทบไม่ไหว
ทานมื้อเย็นราว 6 โมงก็ต้องมาทานมื้อนี้ ทั้งที่ยังตื้อ และจุก
(รูปข้างบนยังไม่ร้อน และยังไม่ได้คนให้เข้ากัน)
 
อาหารมื้อนี้เป็นกระทะร้อน เรียกว่า Military Soup ณ ย่านอินซาดง ที่เคยมาวันที่สองแต่คนละร้าน
ตำนานเล่าว่าซุปทหารนี้ คล้ายๆ แกงโฮ๊ะ หรือจับฉ่ายบ้านเรา
คือมีอะไรก็เอามาใส่ในหม้อในกระทะ
เขาเล่าว่าสมัยสงครามทหารอดอย่างพอดูมีอะไรก็ต้องกินไปตามนั้น
รวมๆ กัน แล้วต้มๆ ก็อร่อยดี ไปๆ มาๆ กลับฮิตในหมู่ชาวบ้าน
ที่คนเกาหลีสมัยก่อนก็ไม่ใช่จะร่ำรวย ไหนจะต้องตกเป็นเมืองขึ้นเขามาหลายทศวรรษ
ไหนจะสงครามโน่นนี่ ก็เลยต้องเกิดกระทะร้อนอันนี้ขึ้นมา
 
ก็อย่างที่ว่าเขาเอาทั้งไส้กรอก แฮม หมูสับ ผัก เต้าหู้ มายำรวมกันในน้ำซุปซอสกิมจิ
เด็ดสุดก็เมื่อเอามาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาใส่ทีหลัง เด็ดมากมาย
ถือเป็นเมนูฮิตของทุกคนที่มาทริปนี้ ที่เขาจัดมา 4 ครั้งแล้ว และแมนูแปลกนี้ก็มีทุกครั้ง
 
มื้อสุดท้ายของทริป…
อันนี้ไม่ต้องบอกคงทราบ นั่นคือ บิบิมบับ (BiBimBub) อาหารประจำชาติขึ้นชื่อ บนย่าน ยองซาน (Yongsan)
ที่ต้องเอากับข้าวทั้งหมดที่โรยหน้าข้าวสวย ทั้งไข่ ถั่วงอก หมูสับ ผัก แครอท เต้าหู้ และสาหร่าย
ในชามหินร้อน (จี๋) สีดำ ต้องรีบคนๆๆๆๆๆ และระวัง เพราะมิฉะนั้นจะไหม้และลวกมือ
อร่อยยังไงคงทราบดี เพราะหาทานสได้เรื่อยๆ ในบ้านเรา …ย้ำว่าต้องทานร้อนๆ ถึงจะแซ่บ
 
กระทะร้อนนี้ เสิร์ฟร่วมกับบิบิมบับ เป็นน้ำแกงหมู วุ้นเส้น เต้าหู ถั่งงอก ผักกาดขาว ฯลฯ
ชื่นใจดีจัง
 
อีกหนึ่งเมนูร่วมโต๊ะคือปลาย่าง (ไม่รู้ปลาอะไร)
จะบอกว่าเมนูปลาหลายๆ สำรับที่ได้ทานเนี่ยะ แม้จะทำได้ง่ายๆ แต่อร่อยหมดเลย
ซึ่งก็ไม่แพ้ญี่ปุ่นเลย นั่นคงเพราะอยู่ใกล้ทะเล (และใกล้ญี่ปุ่น) เหมือนกันละมั้ง 
 
อันนี้เป็นขนมขบเคี้ยวพื้นเมือง วางขายที่อินซาดง ไม่ได้ซื้อแต่ถ่ายเก็บไว้
จริงก็คือสารพัดถั่วนั่นแหละ ชอบทานเลยถ่ายมาดูเล่น
 
อร่อยมั้ย!?
 

Written by vw

August 2, 2008 at 23:21

Posted in Food and drink